About

นักเตะในตำนานที่เก่งที่สุดในโลก


นักเตะในตำนานที่เก่งที่สุดในโลก
 
 


เปเล่

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม Edison Arantes do Nascimento
เอดิสัน อรันเตส โด นาสซิเมนโต
วันเกิด 23 ตุลาคม ค.ศ. 1940
สถานที่เกิด Três Corações ประเทศบราซิล
ชื่อเล่น/ฉายา PeléO Rei (ราชาฟุตบอล) ,Pérola Negra (ไข่มุกดำ)
ตำแหน่ง กองหน้า
สโมสรเยาวชน
1952-1956 Bauru EC
สโมสรอาชีพ*
ปี สโมสร ลงเล่น (ประตู)
1956-1974
1975-1977 ซานโตส
นิวยอร์ก คอสโมส์ 605 (589)
64 (37)
ทีมชาติ
1956-1971 บราซิล 92 (77)

เอดิสัน อรันเตส โด นาสซิเมนโต (โปรตุเกส: Edison Arantes do Nascimento) หรือ เปเล่ (โปรตุเกส: Pelé)นักฟุตบอลชาวบราซิล เล่นให้ฟุตบอลทีมชาติบราซิลชนะฟุตบอลโลก 3 ครั้ง และได้ชื่อว่าเป็น "ราชาฟุตบอล" หรือ "ไข่มุกดำ" เปเล่ได้ทำประตูทั้งหมด 1,281 ประตูในช่วงที่เล่นฟุตบอลอาชีพ ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายทั้งหมด 12 ประตู และได้เกษียณการเล่นฟุตบอลในปี พ.ศ. 2520

เปเล่ได้เล่นให้กับทีมชาติตั้งแต่ปี 1956-1971 โดยในฟุตบอลโลก 1958 ในขณะที่อายุได้ 17 ปี 239 วัน เปเล่ได้เป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในฟุตบอลโลกที่ทำประตูได้ ในนัดแข่งกับ ทีมชาติเวลส์

การจะเป็นนักฟุตบอลที่เก่งและเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วไปได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆกว่าจะมาถึงวันนั้น นักฟุตบอลหลายๆคน คงผ่านความอยากลำบากมานับไม่ถ้วน มีนักเตะอยู่คนหนึ่ง เขาไม่เคยย่อท้อต่อความอยากลำบาก ต่อสู้มาสารพัด และผันตัวเองกลายมาเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกได้ ด้วยความสามรถที่พระเจ้าประทานให้ไม่มีใครที่ไหนที่จะไดรับการยอมรับมากเท่า เขาคนนี้อีกแล้ว เอ็ดสัน เซรานเตส โด นาสซิเมนโต้ หรือที่เรารู้จักกันในนามของ " เปเล่"

เปเล่ ถือว่าเป็นต้นตำรับ ของตำนานฟุตบอลที่เด็กๆทั่วโลกอยากเอาแบบอย่าง จนได้รับฉายาว่า " ไข่มุกดำ" หรือที่มีคนกล่าวขานเขาว่า เป็นเครื่องประดับอันมีค่าที่จะหาอะไรมาเปรียบได้

เขาเกิดเมื่อวันที่ 23 ต.ค. 1940 ในท้องถิ่นแถบ เตรส โกราโกส มินาส เกราอิส ในประเทศบราซิล เปเล่ เป็นลูกชายของ เจา รามอส โด นาสซิเมนโต้ หรือว่าที่คนบราซิลรู้จักว่า " ดอนดินโญ่" นักฟุตบอลชื่อดังของสโมสร ฟลูมิเนนเซ่ ทีมชั้นนำของบราซิล ในวัยเด็ก เพื่อนๆ จะเรียกเขาว่า เปเล่ ซึ่งเขาไม่ชอบชื่อนี้เลย แต่เหมือนฟ้ากำหนดให้ชื่อนี้กลายเป็นชื่อของนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก

เปเล่ โตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่อัตคัด ไม่ค่อยมีกินเท่าไหร่ ไม่มีกระทั่งลูกฟุตบอล ซึ่งเขาต้องนำถุงเท้าเก่าๆและเศษกระดาษมาม้วนรวมๆกันให้กลายเป็นลูกฟุตบอล ใช้เตะกับเพื่อนๆละแวกบ้าน เล่นกันตามมีตามเกิด แต่เมื่ออายุ 11 ปี ด้วยความเก่งกาจเกินอายุและเก่งมาตั้งแต่เด็ก เขาได้รับการเมียงมองจากแมวมองชื่อดังอย่าง วัลเดมาร์เด บริโต้ และได้รับการติดต่อให้ไปทดสอบฝีเท้ากับสโมสรสมัครเล่นของบริโต้ ที่ชื่อ คลุบ อัตเลติโก เบารู จากนั้น ยังนำเปเล่ ไปยังเมืองเซาเปาโล เพื่อเข้าสู่ทีม ซานโตส สุดยอดทีมของบราซิล

ความประทับใจแรกเริ่ม ได้เริ่มต้นจากจุดนี้ เปเล่สร้างความประทับใจให้แก่แฟนบอล สื่อมวลชน และ ผู้บริหารของทีมซานโตส ด้วยการลงเล่น ในวัยเพียง 15 ปีและยิงได้ถึง 4 ประตู จนบริโต้ บอกกับผู้บริหารทีมซานโตส ว่า " ตำนานของวงการฟุตบอลโลกกำลังเกิดขึ้นแล้ว"

อีกหนึ่งปีต่อมา การแข่งขันลีกบราซิลได้เริ่มขึ้น เปเล่ ได้ลงเล่นในฐานะตัวจริงของทีมซานโตส และโชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด ตอนนี้ชีวิตของเขามีแต่ทะยานไปข้างหน้า โดยลืมอดีตอันยากแค้น ไว้อยู่เบื้องหลัง ต่อจากนั้นอีก 10 เดือน เปเล่ ถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิล ซึ่งเขาใช้เวลาเพียง 2 ปีก็มาถึงจุดนี้ได้

19 มิ.ย. 1958 ฟุตบอลโลก ที่สวีเดน เปเล่ ติดทีมชาติบราซิลไปแข่งขัน ด้วยวัยเพียง 17 ปี 293 วัน ซึ่งถือว่าเป็นสถิตินักเตะอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก แต่ไม่หมดเพียงแค่นี้ เปเล่ ยังนำทีมชาติบราซิล คว้าแชมป์โลก ได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยฟอร์มการเล่นที่ตื่นตาตื่นใจ ให้ชาวยุโรปและคนทั้งโลกได้ชมกัน เปเล่จึงเป็นที่เล่าขานและเป็นที่ชื่นชมอย่างมากในตอนนั้น

ความเก่งกาจของเขา ไม่มีอะไรมาหยุดได้แล้ว แต่ในปี 1962 ฟุตบอลโลกที่ ชิลี เปเล่ ต้องโชคร้าย เมื่อลงแข่งได้เพียงนัดเดียวและได้รับบาดเจ็บทำให้เขาหมดสิทธิ์ลงเล่นช่วย ทีม แต่บราซิลของเขา ก็ยังสามารถคว้าแชมป์โลก ได้เป็นสมัยที่สองติดต่อกัน แต่เปเล่ไม่มีส่วนร่วมด้วยเลย

ปี 1966 ฟุตบอลโลกที่ อังกฤษ เปเล่ ก็อดลงเล่นอีก เมื่อบาดเจ็บอีกครั้งหลังโดนการเล่นนอกเกม และโดนไล่เตะในนัดเจอ โปรตุเกส ทำให้เขาไม่มีส่วนร่วมกับฟุตบอลโลกอีก

ครั้งหนึ่ง แต่ในปี 1970 ฟุตบอลโลกที่ เม็กซิโก เปเล่ มาในความฟิตสมบูรณ์สุดขีด และมาพร้อมกับเพื่อนนักเตะที่เก่งกาจอย่าง ทอสเทา,แซร์ซินโญ่ และ ริเวลิโน่ บราซิลโชว์ฟอร์มได้สุดยอดอีกครั้ง และคราวนี้เปเล่ และเพื่อนร่วมทีมก็สามารถช่วยกัน คว้ามแชมป์โลกสมัยที่สามได้สำเร็จ

ในนัดชิง บราซิล ทีมที่เล่นเกมรุกได้ดีที่สุด เจอกับ อิตาลี ทีมที่เล่นเกมรับได้ดีที่สุด แต่ด้วยฟอร์มอันสุดยอดของเปเล่ เขาช่วยให้บราซิล ถล่มอิตาลีไปถึง 4-1 และเขายังโหม่งประตูแห่งความทรงจำ ซึ่งเป็นประตูที่ 100 ของบราซิลในฟุตบอลโลกอีกด้วย

เปเล่ ยังเป็นนักเตะที่ยิงประตูได้เยอะ และทำสถิติมากมาย จนจะหานักฟุตบอลซักคน จะทำแบบเขาได้ อย่าง ปี 1959 ยิงได้ 127 ลูก, ปี 1961 ยิงได้ 110 ลูก, ปี1965 ยิงได้ 101 ลูก และเปเล่ ยังเป็นเจ้าของสถิติทำแฮตทริกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก คือ 92 ครั้ง และติดทีมชาติบราซิล 92 นัดเด้วย

เขายังเป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ถึง 1,000 ประตูในปี 1969 ต่อหน้าแฟนบอลนับแสนคนใน สนามอันโอ่อ่า อย่าง มาราคาน่า สเตเดี้ยม ซึ่งคงจะหานักฟุตบอลคนใดจะยิงได้มากแบบเปเล่คงไม่มีอีกแล้วในโลกนี้

วันที่ 2 ต.ค. 1974 หลัจากคว้าแชมป์โลกมา 3 สมัยแล้ว เปเล่ ตัดสินใจแขวนสตั๊ดออกจากวงการฟุตบอลบราซิล และเล่นให้กับสโมสรเพียงสโมสรเดียวก็คือ ซานโตสมาตลอด    หลายปี แต่จากนั้น เขาก็ตัดสินใจไปร่วมทีมคอสมอส ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเขาได้รับเงินถึง 7 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อไปกระตุ้นกีฬาซอคเกอร์ ให้คนอเมริกันหันมาชื่นชอบกัน

ที่อเมริกา เปเล่ประสบความสำเร็จทุกอย่าง ไม่ว่า จะเป็นนักเตะยอดเยี่ยม ดาวซัลโว และทำให้คนที่นี่หันมาสนใจซอคเกอร์เพิ่มมากขึ้น และ จนกระทั่ง วันที่ 1 ต.ค. 1977 เปเล่ตัดสินใจแขวนสตั๊ด อำลาวงการลูกหนังอย่างเป็นทางการ ในนัดสุดท้ายที่ ไจแอนนต์ สเตเดี้ยม ซึ่งคอสมอส พบกับ ซานโตส สโมสรเก่าของเขานั่นเอง ซึ่งการอำลาเป็นไปอย่างยิ่งใหญ่ มีแฟนบอลหลายหมื่นคนเข้าร่วมการอำลาของเขา

เมื่ออำลาวงการฟุตบอลไปแล้ว เขาก็ยังทำงานด้านฟุตบอลไปเรื่อยๆ ด้วยภาพลักษณ์ที่ดีทั้งในและนอกสนาม เปเล่ จึงได้รับการยกย่องจากแฟนบอลทั่วโลก และได้รับการยอมรับจากนานาชาติ องค์กรระดับโลกให้เข้าร่วมกิจกรรมที่ช่วยเหลือสังคมมาเสมอ

ในปี 1995 ประธานาธิบดี คาร์โดโซ่ ของบราซิล แต่งตั้ง เปเล่ให้เป็น รัฐมนตรีกีฬาของบราซิลด้วย นี่แสดงให้เห็นว่า เปเล่ เป็นตัวอย่างที่ดีที่นักเตะและคนรุ่นหลังๆต้องเอาแบบอย่างในการปฎิบัติตัว และไม่แปลกใจเลย ที่คนทั้งโลก ยกให้เขา เป็น นักเตะที่เก่งที่สุดแห่งศตวรรษ

ความเป็น " ไข่มุกดำ" เปเล่ ที่พระเจ้าประทานมาให้นั้น จะยังคงอยู่ในความทรงจำของแฟนบอลทั้งโลกต่อไปไม่ว่าจะผ่านไปซักกี่ปีก็ตาม เขายังเป็นหนึ่งในใจของแฟนบอลทั้งโลกตลอดไป



ดีเอโก มาราโดนา

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม Diego Armando Maradona
ฉายา เสือเตี้ย
วันเกิด 30 ตุลาคม ค.ศ. 1960
สถานที่เกิด Lanús Argentina
ส่วนสูง 1.65 ม. (5 ฟุต 5 นิ้ว)
ตำแหน่ง Attacking Midfielder/Second Striker

ดีเอโก อาร์มานโด มาราโดนา (สเปน: Diego Armando Maradona) เกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1960 ในลานุส บัวโนสไอเรส เป็นอดีตนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา และปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมชาติอาร์เจนตินา เขาถือเป็น 1 ในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง เขาได้รับการลงคะแนนทางอินเทอร์เน็ตครั้งแรก กับรางวัลผู้เล่นฟิฟ่าแห่งศตวรรษ โดยได้รับร่วมกับเปเล่

ที่สุดของนักฟุตบอล หลายๆคนคงนึกถึงเปเล่ ราชันลูกหนังโลกชาวบราซิล  แต่ก็มีที่สุดของที่สุดอีกคนหนึ่ง ที่วงการฟุตบอลโลก ไม่เคยลืมเลือน และยังเป็นหนึ่งเดียวที่ยากที่จะหาใครเหมือนได้  เขาคนนั้นก็คือ ดีเอโก้ มาราโดน่า ยอดนักฟุตบอลที่พระเจ้าประทานมาให้เลยก็ว่าได้  ชีวิตและเรื่องราวของมาราโดน่า มีทุกอย่าง ไม่ว่าประสบความสำเร็จสูงสุดในการเล่นฟุตบอล และตกต่ำสุดๆ ในเรื่องของการติดยา เหล่านี้มาราโดน่า ผ่ามมาหมด  เรื่องราวของเขาจึงเป็นที่ติดตามมาตลอดไม่ว่าจะผ่านไปซักแค่ไหนก็ตาม

ในประเทศอาร์เจนติน่า มาราโดน่า คือที่สุดของที่สุด แม้ว่าจะรูปร่างเตี้ย แต่มันไม่เคยเป็นอุปสรรคในการเล่นโชว์ความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขาได้เลย มาราโดน่า   เขาเกิดมาในครอบครัวที่ยากจน ในย่านชุมชนแออัดชานกรุงบูโนสไอเรส ด้วยครอบครัวที่ยากจน มาราโดน่าต้องดิ้นร้นอย่างมากที่พาตัวเองให้พ้นจากสภาพแวดล้อมที่แย่ๆแบบ นี้  แต่เหมือนพระเจ้า จะส่งเขาลงมาเกิดมาประทานความสามารถในการเล่นฟุตบอลติดตัวมาด้วยเพื่อจะก้าว เป็นสุดยอดของโลก

ดีเอโก้ มาราโดน่า เริ่มชอบฟุตอบลตั้งแต่เด็กๆ เหมือนเด็กละตินทั่วไป  แต่ด้วยความยากจน เขาก็ได้แต่เล่นในพื้นที่แคบๆ ตามถนนบียา ฟลอริโต้ ในเมืองหลวงของอาร์เจนติน่า  แม้จะรูปร่างเล็กและเล่นได้เท้าซ้ายข้างเดียว แต่ก็ไม่มีใครสามารถจะแย่งบอลจากเด็กตัวเล็กๆคนนี้ไปได้ จนกระทั่ง เป็นที่เตะตาของ ฟรานซิส คอร์เนโฮ โค้ชของอาร์เจนติโนส จูเนียร์ส ที่เห็นแววความสุดยอดของเขา

หลังจากที่มาราโดน่า ได้รับการชักชวนให้เข้าสู่สโมสรอาร์เจนติโนส ที่นี่เขาได้ฝึกปรือความสามารถในเชิงลูกหนังอย่างเต็มที่ แต่ด้วยความเก่งเกินตัวจนรุ่นเดียวกันสู้ไม่ได้ แม้ว่าโค้ชอยากให้ไปทีละขั้น แต่ก็ต้องส่ง มาราโดน่า ขึ้นสู่ชุดใหญ่และ ลงนามด้วยวัยเพียงแค่ 15 ย่างเข้า 16 ปีเท่านั้นในวันที่ 20 ต.ค. 1976 ในนัดที่ อาร์เจนติโนส จูเนียร์ส พบ ตาเยเรส จากคอร์โดบา

นี่คือจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ อีก 4 ปีต่อมา เขาก็นำทีมไม่แพ้ใครถึง 136 เกมถือว่าสุดยอดมากๆ ตอนนั้นชื่อเสียงของเขาดังไปทั่วอเมริกาใต้ และ ไปถึงยุโรป จนมีคนกล่าวว่าได้เจอ ยอดนักเตะระดับโลกคนใหม่ของอเมริกาใต้แล้ว แต่ปี 1978 อาร์เจนติน่า เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ตอนนั้นหลายเสียงเรียกร้องให้ เซซาร์ หลุยส์ เมนนอตติ เฮดโค้ชทีมชาติเรียกตัวมาราโดน่า ติดทีมชาติแต่ก็โดนปฎิเสธ แม้ว่าเขาไม่ติดทีมชาติ อาร์เจนติน่าก็ยังได้แชมป์โลกไปครองเป็นสมัยแรก

ต่อมามาราโดน่า ติดทีมชาติชุดอายุไม่เกิน 20ปี ไปคว้าแชมป์เยาวชนโลกได้สำเร็จ  หลังจากนั้นดวงของมาราโดน่ามีแต่ทะยานไปข้างหน้า และท้ายที่สุดเขาก็กลายมาสู่ทีมชุดใหญ่จนได้ และ ตอนนั้นได้ย้ายไปร่วมยอดทีมของอาร์เจนติน่า อย่าง โบคา จูเนียร์ส ด้วย

ฟุตบอลโลกปี 1982  ที่สเปน มาราโดน่าติดทีมไปแข่งขันเนครั้งแรก ทุกคนทั่วโลก จดจ้องเขาเพียงคนเดียว ด้วยความสามารถอันเกินวัย แต่ฟุตบอลโลกครั้งนี้ของมาราโดน่า ต้องผิดหวังอย่างแรงเมื่อเขาโดนไล่ออก ในเกมพบบราซิล และอาร์เจนติน่าตกรอบสอง  ซึ่งตัวเขาเองก็ผิดหวังสุดๆ

แต่จากนั้นไม่นาน "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลน่า  ทุ่มเงินซื้อเขาจากโบคา จูเนียร์ส มาเล่นที่สเปน แต่เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะได้รับบาดเจ็บจากการทำร้ายอย่างหนักหน่วงของกองหลังในลีกสเปน ถึงขั้นขาหัก

ปี 1984 บาร์เซโลน่า ตัดสินใจขายมาราโดน่าให้กับ นาโปลี ทีมชั้นในกัลโช่ เซเรียอา อิตาลี ในราคา 220 ล้านบาทและเป็นสถิติโลกด้วยในตอนนั้น ซึ่งนาโปลี ต้องการความสามารถอันสุดยอดของมาราโดน่า ก้าวมาอยู่แถวหน้าของประเทศให้ได้  23 ก.ย. 1984  มาราโดน่า ประเดิมสนามนัดแรกและเป็นที่ตื่นเต้นของแฟนบอลที่รอคอย  มาราโดน่า เล่นได้ดีในช่วงครึ่งแรกของฤดูกาล แต่นาโปลีก็ยังอยู่ท้ายตาราง  แต่ครึ่งฤดูกาลหลัง มาราโดน่าโชว์ความสามารถทั้งยิงและจ่ายและเป็นทุกอย่างของทีม เขาทำได้ 14 ประตู ทำให้จบฤดูกาลแรกของเขา นาโปลีอยู่ที่อันดับ 8

ฤดูกาลต่อมา เขาก็ยังเล่นได้ดี แต่เขายิงน้อยกว่าปีแรก แต่ถึงกระนั้น มาราโดน่าได้กลายเป็นเทพเจ้าของชาวเมืองเนเปิ้ลส์ไปแล้ว  เพราะทีมเล่นได้สนุกสุดยอด ผิดกับทีมอืนๆในลีกที่เน้นแท็กติกอย่างเดียว ปีที่สองของเขา ทีมจบอันดับที่ 3

ฟุตบอลโลก ปี 1986  ทุกคนได้รู้จักความสุดยอดของมาราโดน่าอย่างแท้จริง คาร์ลอส บิลาร์โด้ เฮดโค้ชทีมชาติอาร์เจนติน่าในตอนนั้น มอบตำแหน่งกัปตันทีมชาติให้มาราโดน่า นำทัพลุยฟุตบอลโลกที่เม็กซิโก และก็ไม่ทำให้แฟนบอลทั้งชาติผิดหวัง มาราโดน่า นำทีมชาติอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์โลกสมัยที่สองอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยฟอร์มอันสุด ยอดและโดดเด่นสุดๆของมาราโดน่า ปีนั้นจึงเป็นฟุตบอลโลกของมาราโดน่าเพียงผู้เดียวจริงๆ

แต่จุดสำคัญอีกอย่างที่ชื่อเสียงของมาราโดน่า กระฉ่อนไปทั้งโลก ก็คือการเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่เจอกับทีมชาติอังกฤษ  นัดนี้ผู้คนทั้งโลกตระลึงกับการเล่นฟุตบอลที่สุดยอดของเขา และมาราโดน่ายังใช้มือปัดลูกบอลเข้าประตู ซึ่งเขาเรียกมันว่า " Hand  of God"  อันหมายถึงหัตถ์ของพระเจ้า แม้คนทั้งโลกจะเห็นว่าเขาใช้มือปัดเข้าประตู แต่ผู้ตัดสินก็ให้เป็นประตูอย่างที่นักเตะจากอังกฤษ ยากที่จะทำใจยอมรับ

ที่สุดยอดกว่านั้นก็คือ อีกไม่กี่นาทีต่อมา หลังจากประตูกังขาแล้ว มาราโดน่า โชว์ทักษะอันสุดยอดที่โลกต้องตะลึง ด้วยการาเลี้ยงบอลจากแดนตัวเองหลบผู้เล่นอังกฤษ อย่าง ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์และปีเตอร์ รีด  ก่อนที่จะโยกหลบ เทอร์รี่ เฟนนิค และ เทอร์รี่ บุทเชอร์ ปราการหลังของสิงโตคำราม เข้าไปในเขตโทษ และสุดท้ายยังหลบปีเตอร์ ชิลตันอีกคนก่อนจะยิงประตูเข้าไปอย่างสุดยอด เป็นประตูตอกย้ำความสามารถอันหาใครเสมอเหมือนได้  ประตูนี้จึงถูกเล่าขานมาตลอดว่าเป็นประตูแห่งศตวรรษ เลยก็ว่าได้

และปีเดียวกัน มาราโดน่า นำทัพนาโปลี ตะลุยเก็บคะแนนในลีกอย่างสุดยอด  คนทั้งเมืองนับถือเขาดุจเทพเจ้าไปแล้ว และมาราโดน่ายิงถึง 10 ประตู และยังใส่พานให้เพื่อนร่วมทีมอีกไม่รู้เท่าไหร่ และสุดท้าย นาโปลีก็สามารถคว้าสคูเด็ตโต้  หรือแชมป์กัลโช่ เซเรีย อา เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ   แถมปีนั้น มาราโดน่ายังพาทีมนาโปลี ฟาดแชมป์โคปปา อิตาเลีย อีกถ้วยกลาเยป็นดับเบิ้ลแชมป์ไปเลย

ความสุดยอดของมาราโดน่า ยังทำให้นาโปลียิ่งใหญ่ต่อไป  เขาพาทีมได้แชมป์ยูฟ่า คัพ เป็นครั้งแรก ทั้งเมืองฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่  ความสำเร็จยังไม่ถึงที่สุด ในปี 1990 นาโปลี มาได้แชมป์กัลโช่ เซเรียอา อีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการล้างแค้น มิลานได้สำเร็จ  และปีนี้ก็คือปีฟุตบอลโลก และอิตาลีก็คือเจ้าภาพ มาราโดน่ายังเป็นเทพเจ้าของเมืองเนเปิ้ลส์อย่างแท้จริง ทีมชาติอาร์เจนติน่าของเขา มาแบบกระท่อนกระแท่น แต่ก็สามารถผ่านทะลุไปได้เรื่อยๆจนมาถึงรอบรองฯ ที่พบกับ อิตาลี เจ้าภาพ นัดนี้จัดที่เมืองเนเปิ้ลส์ แฟนบอลอิตาลีหลายๆคนหันมาเชียร์เทพเจ้าของเมืองแทนชาติพวกเขา และอาร์เจนติน่าก็สามารถล้มอิตาลี เข้าไปชิงชนะเลิศ กับเยอรมัน คู่ชิงครั้งก่อนได้สำเร็จ

แต่ฟุตบอลโลกครั้งนี้ มาราโดน่า ต้องผิดหวังเพราะทีมของเขาต้องพ่ายแพ้แก่ความยอดเยี่ยมของเยอรมัน ไป 1-0  และเป็นวันที่มาราโดน่ายืนร้องไห้กลางสนาม    หลังจากนั้น ชีวิตของมาราโดน่า เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ แต่ปี 1994 ฟุตบอลโลกที่อเมริกา มาราโดน่าถูกตรวจพบสารกระตุ้น  และอาร์เจนติน่าก็ตกรอบไปอย่างรวดเร็ว ช่วงนั้นชีวิตเขามีแต่ความตกต่ำอื้อฉาว เข้าไปพัวพันกับยาเสพติด  จนวันที่ 29 ต.ค. 1997 มาราโดน่า ประกาศแขวนสตั๊ด

แม้ชีวิตต่อมาของมาราโดน่า จะเหลวแหลกแค่ไหน แต่ทุกคนก็ยังจดจำความสามารถในการเล่นฟุตบอลของเขามาก่อนเรื่องส่วนตัวเสมอ และยังเป็นเทพเจ้าของอาร์เจนติน่าอยู่ดี  แต่ใครจะคิดว่า ครั้งหนึ่ง มาราโดน่า ที่มีรูปร่างเตี้ยเพียงคนเดียวจะสามารถบันดาลแชมป์โลกให้อาร์เจนติน่ามาแล้ว และยังประสบความสำเร็จในการเล่นลีกที่อิตาลี ซึ่งน้อยคนนักจะทำได้อย่างเขา

ไม่ว่าจะกี่ปี ชื่อของ ดีเอโก้ มาราโดน่า จะยิ่งใหญ่ตลอดกาลในโลกฟุตบอลยากที่ใครจะมาโค่นลงได้อย่างแน่นอน
 
 


มิเชล พลาตินี

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อ Michel Platini
ฉายา นโปเลียนลูกหนัง
วันเกิด 21 มิ.ย.1955
สถานที่เกิด ฝรั่งเศส
ตำแหน่ง Attacking Midfielder

มิเชล พลาตินี (Michel Platini) หากเอ่ยถึงชื่อนี้เชื่อว่าคงไม่มีแฟนลูกหนังคนไหนไม่รู้จัก เนื่องจากปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งประธานสมาคมฟุตบอลยุโรป หรือที่เราเรียกสั้น ๆ ว่า “ยูฟา” ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อวงการฟุตบอลจริง ๆ แต่ใครจะรู้ว่ากว่าที่พลาตินีจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งนี้ เขาเคยผ่านอะไรมาบ้าง

พลาตินีเป็นนักฟุตบอลชาวฝรั่งเศส เริ่มอาชีพค้าแข้งอย่างเป็นทางการกับทีมนองซ์ ในปี 1972 ก่อนจะได้ติดธงตราไก่ครั้งแรกในปี 1976 ซึ่งสมัยที่เป็นนักฟุตบอล พลาตินีอยู่ในชุดที่พาฝรั่งเศสผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศศึกฟุตบอลโลกถึง 2 สมัย และยังช่วยให้ฝรั่งเศสคว้าแชมป์ฟุตบอลยูโรมาครองในปี 1984

ส่วนระดับสโมรสร หลังพลาตินีย้ายจากทีมนองซ์ไปร่วมทีมแซงต์ เอเตียน ในปี 1979 และค้าแข้งที่นั่นเป็นเวลา 3 ปี เขาก็ได้ย้ายไปร่วมงานกับทีม “ม้าลาย” จูเวนตุส ในศึกกัลโช ซีรีเอ อิตาลี ซึ่งเป็นสโมสรที่เขาประสบความสำเร็จมาก ด้วยการพาจูเวนตุสคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพ และอินเตอร์คอนทิเนนทอล คัพ พร้อมกันในปี 1985 เคยยิงประตูให้จูเวนตุส 68 ประตู จากการลงเล่น 147 นัดในเกมลีก ยิ่งไปกว่านั้นพลาตินียังได้รับยกย่องว่าเป็นนักฟุตบอลที่มีเทคนิคในการส่งลูกยอดเยี่ยมที่สุด รวมทั้งการเตะฟรีคิก

มิเชล พลาตินี่ อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสผู้ยังมีชีวิตอยู่ และเป็นบุคคลระดับตำนานไปเรียบร้อยแล้ว ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะมิดฟิลด์ที่เพอร์เฟกต์ที่สุดในโลกของยุคเดียวกัน

พลาตินี่ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ นองซี่-ลอร์เรน ก่อนจะย้ายสู่ทีมที่ใหญ่กว่าอย่าง แซงต์ เอเตียง ที่ซึ่งมาประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ ลีก สูงสุดเมื่อปี 1981

ปี 1982 ก้าวใหม่ของชีวิตที่ท้าทายกว่าเดิมเริ่มมาถึงเมื่อได้ย้ายไปหาประสบการณ์กับสโมสรในอิตาลี ซึ่งเป็นสโมสรชั้นนำอย่าง ยูเวนตุส แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เมื่อจากการลงเล่น 147 เกม พลาตินี่ กระทุ้งประตูไป 68 ตุง ซึ่งจากตำแหน่งมิดฟิลด์ ถือว่าเป็นสถิติที่ไม่ธรรมดา

ไม่เท่านั้น พ่อมดแห่งวงการลูกหนังรายนี้ยังนำโด่งเป็นดาวซัลโวของ เซเรีย อา ถึง 3 สมัยซ้อน พลาตินี่ เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งให้ม้าลายแห่งตูริน สคูเด็ตโต้,แชมป์ อิตาเลียน คัพ,ยูโรเปี้ยน คัพ และ คัพ วินเนอร์สคัพ

พลาตินี่ ได้รับมอบหมายเป็นกัปตันทีมชาติ “ตราไก่” ฝรั่งเศส ลุยศึก ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนคัพ เมื่อปี 1984 และจบทัวร์นาเมนต์ด้วยตำแหน่งดาวซัลโวด้วยที่ 9 ประตู

นอกจากจี๊ดจ๊าดในตำแหน่งมิดฟิลด์แล้วการผ่านบอล ป้อนบอลของ พลาตินี่ ยังได้รับการยอมรับว่าเยี่ยมยอดอีกด้วย รวมถึงการยิงประตูที่หาได้ไม่มากนักจากนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ แล้วเป็นดาวยิงแบบนี้

เซอร์บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ตำนานนักเตะอังกฤษ ได้กล่าวถึง พลาตินี่ ไว้ว่า “เขาจบสกอร์ได้คมมากๆแม้จะมีช่องอยู่นิดเดียวเท่ารูเข็มก็ตาม”

ในด้านการปั่นฟรีคิก ถ้าให้เทียบกับสมัยนี้ เดวิด เบ็คแฮม ยังอายเลยทีเดียว พลาตินี่ สามารถปั่นบอลให้โค้งหนีกำแพงและหนีมือผู้รักษาประตูได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งการซ้อมก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษใช้หุ่นตั้งเป็นแถวเหมือนกับที่คนอื่นทำกัน

หลายท่านคงเคยได้ยินชื่อเสียงและคงจดจำความคลาสิกของทีมชาติฝรั่งเศส ชุดแชมป์ยูโร 84 และฟุตบอลโลกปี 86 ได้เป็นอย่างดี และหนึ่งนักเตะในตำนานชุดนั้นต้องเป็นใครไม่ได้ นอกจาก “นโปเลียนลูกหนัง” มิเชล พลาตินี่ จอมทัพคนเก่งของทีมชาติฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นยอดนักเตะที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลกและของฝรั่งเศส และได้ฝากผลงานทั้งในระดับชาติและสโมสรมามากมาย

พลาตินี่เป็นชาวเมืองโลธริงเก้น เกิดเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.1955 ตั้งแต่เด็กพลาตินี่ชื่นชอบในกลิ่นสาบลูกหนังมาตลอด และได้ลงเล่นให้สโมสรท้องถิ่น ในช่วงปี 1966-1972 และที่นี่ เขาได้พื้นฐานสำคัญในความสามารถยอดเยี่ยมของเขาในการเตะลูกฟรีคิก

การเล่นลูกนิ่งของพลาตินี่ เป็นความสามารถที่จะหาผู้ใดมาหลอกเลียนแบบได้ และยังสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าในการเล่นได้อีกทำให้เขากลายเป็นอัจฉิยะแห่งวงการฟุตบอลไปเลย และวันที่ 2 พ.ค. 1973 ด้วยวัยเพียง 17 ปี พลาตินี่ สามารถลงเตะในทีมชุดใหญ่ของสโมสรน็องซี่ เป็นครั้งแรก และย้ายไปอยุ่กับแซงเอเตียน ก่อนจะย้ายไปโด่งดังสุดขีดกับทีม ม้าลาย ยูเวนตุส จากอิตาลี ในปี 1982 และสามารถคว้าแชมป์ต่างๆได้มากมาย

ส่วนการเล่นในระดับชาตินั้น พลาตินี่ติดทีมชาติครั้งแรก เมื่อปี 1976 ในการลงเตะกับทีมชาติเชกโกสโลวาเกีย(ทีมชาติเชกในปัจจุบัน) และติดทีมชาติไปเล่นบอลโลกปี 1978 ที่อาร์เจนติน่า แต่ก็ไปไม่ถึงดวงดาว ในฟุตบอลโลก ปี 1982ที่ประเทศสเปน พลาตินี่ ยังคงเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม พาทีมชาติฝรั่งเศส เข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ ดวลแข้งกับทีมชาติเยอรมันตะวันตก ฝรั่งเศสนำก่อน 3-1 แต่ก็ถูกทีมอินทรีเหล็กตีเสมอ และดวลจุดโทษพ่ายไปในอย่างเจ็บปวดที่สุด

แต่ในอีกสองปีต่อมา พลาตินี่ นำทัพฝรั่งเศส ลงทำศึกฟุตบอลยูโร 84 ที่ ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ คราวนี้ทีมของพลาตินี่ ประสบความสำเร็จสูงสุด โดยการคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการชนะทีมชาติสเปน ไปอย่างสบายๆ 2-0 และพลาตินี่ ยังสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมด้วยการเป็นดาวซัลโว ประจำทัวร์นาเมนต์นี้ ด้วยจำนวนประตู ถึง 9 ลูกด้วยกัน และหลังจากนั้น ทีมชาติฝรั่งเศส ก็ยังเป็นตัวเต็ง ต้นๆในฟุตบอลโลกปี 86 ที่ประเทศเม็กซิโก ผลงานในครั้งนี้ฝรั่งเศสเล่นกันได้อย่างยอดเยี่ม โดยเฉพาะนัดเจอ กับแซมบ้า บราซิลในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ถือว่าเป็นแมตช์คลาสสิกอีกนัดหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก ซึ่งทั้งสองทีมเล่นกันด้วยเกมรุกเต็มรูปแบบแม้ว่าบราซิลจะนำก่อน แต่พลาตินี่ ก็เป็นผู้ตีเสมอ ให้กับทีม ก่อนจะดวลจุดโทษชนะไปอย่างสุดมันส์ แม้ในท้ายที่สุดฝรั่งเศสจะไปได้แค่รอบรองชนะเลิศ แต่การเล่นอันยอดเยี่ยมของพลาตินี่และทีมชาติฝรั่งเศส ยังติดตาแฟนบอลทั่วโลก ไม่มีวันลืมเลือน

พลาตินี่ จบชีวิตเล่นฟุตบอลให้กับทีมชาติ หลังจากนัดที่เอาชนะไอซ์แลนด์ไปได้ 2-0 ในวันที่ 29 เม.ย. 1987 และประกาศเลิกเล่นให้กับทีมยูเวนตุส ในปีเดียวกัน ด้วยวัยเพียง 31 ปี และเขาได้กล่าวว่า ” ผมได้ตายจากโลกไปเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 1987″ แต่ในปี 1988 พลาตินี่ เข้ามารับตำแหน่งทีมเชฟของทีมชาติฝรั่งเศสและพาทีมลุยฟุตบอลยูโร 88 และ 92 ก่อนจะอำลาทีมในที่สุด และพลาตินี่ได้รับการยกย่องว่า เป็นมิดฟิลด์ตัวรุกที่ดีที่สุดในโลกคนหนึ่งและเป็นดาวเตะตลอดกาลของทีมชาติฝรั่งเศสอีกด้วย
 



บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อ เซอร์ โรเบิร์ต บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน
ฉายา ฮัศวินเมืองผู้ดี
วันเกิด 11 ตุลาคม ค.ศ. 1937
สถานที่เกิด Ashington อังกฤษ
ส่วนสูง 5 ฟุต 8 นิ้ว
ตำแหน่ง มิดฟิลด์,กองหน้า

เซอร์ โรเบิร์ต "บ๊อบบี้" ชาร์ลตัน (อังกฤษ: Sir Bobby Charlton)อดีต นักเตะผู้ยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและทีมชาติอังกฤษโดยเขาเป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากเหตุโศกนาฏกรรมมิวนิกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1958พร้อมกับ เซอร์แมตต์ บัสบี้ ผู้จัดการทีมและทีมงานสตาฟฟ์อีกหลายชีวิตหลังจากนั้นอีก 8 ปีก็สามารถคว้า แชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จต่อมาอีก 2 ปีคือปีค.ศ. 1968ก็สามารถคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพร่วมกับเพื่อนร่วมทีมแมนฯยูไนเต็ดปัจจุบันท่านเซอร์ ก็ได้เป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของสโมสรแมนฯยูไนเต็ด

ถ้าจะเอ่ย ถึงยอดนักเตะของผู้ดีซักคน หลายๆคนคงนึกถึง บ็อบบี้ มัวร์, เจฟฟ์ เฮิร์ทส์,กอร์ดอน แบงค์ ฯลฯ ซึ่งนักเตะเหล่านี้ล้วนเป็นยอดนักเตะในตำนานของทีมชาติอังกฤษ แต่ยังมีอีกคนหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นต้นแบบของวงการลูกหนังอังกฤษในยุคสุดยอด นั่นก็คือ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ยอดนักเตะ ของทีมปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และทีมชาติอังกฤษ รวมอยู่ด้วย

บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เกิดเมื่อวันที่ 11  ต.ค. 1937  ที่แอชิงตัน   ซึ่งช่วงนั้นฟุตบอลกำลังบูมอย่างมากในอังกฤษ และ ชาร์ลตันที่หลงใหลในกลิ่นสาบลูกหนังก็หมั่นฝึกฝน และได้เข้าฝึกฝนทักษะด้านลูกหนังที่โรงเรียน อีสต์ นอร์ธัมเบอร์แลนด์  ที่นี่เองที่ชาร์ลตัน สามารถฝึกปรือเชิงลูกหนังได้อย่างเต็มที่ ด้วยความสามารถที่เกินวัย ชาร์ลตัน ก็สามารถได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งขันฟุตบอลรายการต่างๆ และลีลาความสามารถที่สูงตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาเป็นที่ต้องตา ของ กุนซือคนเก่งของแมนฯยูไนเต็ด อย่าง แมตต์ บัสบี้

หลังจากนั้น ชาร์ลตัน ก็ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะฝึกหัดของทีมปิศาจแดง ด้วยวัยเพียง 15 ปี ซึ่งตอนนั้นแมตต์ บัสบี้ กำลังสร้างรากฐานจากเยาวชนเพื่อครองความยิ่งใหญ่ โดยใช้สโลแกนในตอนนั้นว่า "บัสบี้ เบ็บส์ "  หรือ เด็กๆของบัสบี้  หลังจากนั้นเพียง 3 ปี เขาก็ได้กลายขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ของทีมแมนฯยูไนเต็ด และได้ลงสนามนัดแรกก็เอาชนะใจของแมตต์ บัสบี้ได้สำเร็จ ด้วยการยิง 2 ประตูชนะ ชาร์ลตัน ไป 4-2  และปีนั้นชื่อของชาร์ลตันเริ่มเป็นที่จับตามองมากขึ้น หลังจากช่วยพาทีมครองแชมป์ดิวิชั่นหนึ่งของอังกฤษ ได้สำเร็จ

ปีต่อมาเขาได้ลงเล่นถ้วยใบใหญ่สุดของยุโรป อย่าง ยูโรเปี้ยนส์ คัพ ซึ่งเขาก็สามารถพาทีมผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งตอนนั้นนัดชิงจัดขึ้นที่สนามเวมบลีย์   แต่ก็เกิดเหตุการณ์อันสลดขึ้น เมื่อทีมต้องไปแข่งขันรอบตัดเชือกที่    มิวนิค ตอนขากลับเครื่องบินเกิดเหตุขัดข้อง จนเกิดอุบัติเหตุ ทำให้นักเตะทีมแมนฯยูไนเต็ด ต้องเสียชีวิต ถึง 23 คน แต่    ชาร์ ลตันถือว่าดวงแข็งมาก กลับรอดชีวิตมาอย่างปาฎิหาริย์ แบบไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลย  เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดเมื่อวันที่ 6  ก.พ. 1958 เวลา 15.04 น.

หลังจากนั้น ชาร์ลตันก็ยังอยู่กับยูไนเต็ด ภายใต้การนำทีมของแมตต์ บัสบี้  แต่ฟอร์มการเล่นของชาร์ลตันก็ยังโดดเด่น จนทีมชาติอังกฤษ เรียกเข้าสู่ทีมเมื่อปี 1958 ภายใต้การทำทีมของ วอลเตอร์ วินเตอร์บอททอม  ชาร์ลตันเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ   และปีนั้นอังกฤษได้ไปฟุตบอลโลกที่สวีเดน  แต่แล้วอังกฤษก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตกรอบแรกอย่างรวดเร็ว และชาร์ลตันเองก็ไม่มีส่วนร่วมในการแข่งขันครั้งนั้นเลย ซึ่งหลังจากนั้น วอลเตอร์ ออกมายอมรับว่าเขาเสียดายที่ไม่ให้ โอกาสชาร์ลตันลงสนาม    4 ปีต่อมา ชาร์ลตันยังเป็นกำลังสำคัญของทีมชาติอังกฤษ ลุยฟุตบอลโลก แต่ทีมของเขาก็จบแค่รอบ 8 ทีมสุดท้าย

ต่อจากนั้นชาร์ลตันกลับมาประสบความสำเร็จกับปิศาจแดงต่อ ด้วยการกวาดแชมป์ดิวิชั่นหนึ่ง ในปี 1965.1967 และแชมป์เอฟเอคัพ ปี 1963 หลังจากที่บัสบี้ ได้สร้างทีมใหม่ขึ้นมา โดยการนำของชาร์ลตัน  เดนิส ลอว์ และ จอร์จ เบสต์ ทำให้ทีมปีศาจแดง กลายเป็นทีมเล่นได้สุดยอดในยุคนั้น และความสำเร็จของสโมสรนี่เองทำให้ ชาร์ลตัน ลงทำศึกฟุตบอลโลกปี 1966 ที่อังกฤษเป็นเจ้าภาพ ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม และมีขุนพลเอกจากสโมสรชั้นนำทำให้ปีนั้น อังกฤษประสบความสำเร็จสูงสุด ด้วยการคว้าแชมป์โลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์  ด้วยการชนะเยอรมันตะวันตกไป 4-2   ซึ่งผลงานการเล่นของชาร์ลตันโดดเด่นมากในปีนั้น และปี 1968 เขาก็สามารถนำทีมปิศาจแดง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ เป็นครั้งแรกและเป็นทีมแรกจากอังกฤษอีกด้วยที่ได้แชมป์ใบโตของยุโรป

จากนั้น ชาร์ลตันก็ยังวนเวียนกลับการเล่นฟุตบอล จนกระทั่งในปี 1974 เขาตัดสินใจแขวนสตั๊ด และหันไปทำธุรกิจโรงเรียนสอนฟุตอล   ต่อมาเมื่อปี 1984 ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้เชิญ เขาเข้ามาเป็นผู้อำนวยการสโมสรและได้รับเกียรติให้เป็นบอร์ดของฟีฟ่า อีกทั้งอังกฤษ ยังแต่งตั้งให้ชาร์ลตันเป็นทูตกีฬาเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเผยแพร่เกมลูกหนัง

ความภาคภูมิใจอีกอย่างหนึ่งของชาร์ลตัน ก็คือ การได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น เซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน  จากพระราชวังบักกิ้งแฮม  หลังจากสร้าชื่อเสียงให้กับสโมสรและประเทศชาติมายาวนาน นับว่าชาร์ลตันคือนักเตะแม่แบบของนักเตะอังกฤษขนานแท้เลยก็ว่าได้

แม้ว่าการเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน คนทั่วโลกก็ ยังจดจำการเล่นอันยอดเยี่ยมของ ยอดนักเตะเมืองผู้ดีอย่าง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ตลอดไปอย่างแน่นอน

เกียรติประวัติของ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน

ระดับชาติ

ติดทีมชาติ 106 ครั้ง ยิง 49 ประตู

แชมป์ฟุตบอลโลก 1966 (จะมีอีกมั๊ยหากยังเล่นกันแบบนี้อยู่)

ระดับสโมสร

แชมป์ลีกสูงสุด กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปี 1957,1965,1967

แชมป์เอฟเอ คัพ ปี 1963

แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ ปี 1968




ฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อ ฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์
ฉายา  “แดร์ ไกเซอร์” ที่แปลว่าจักรพรรดิ์ลูกหนัง
วันเกิด 11 กันยายน ปี 1945
สถานที่เกิด มิวนิค ประเทศเยอรมัน
ตำแหน่ง ลิเบอโร่
ในวงการฟุตบอลมีนักเตะเพียงไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จทั้งการเป็นนักเตะ และโค้ช ซึ่งยากนักจะมีใครซักคนที่ทำได้ แต่ยกเว้นเขาคนนี้  "จักรพรรดิลูกหนัง" ฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ อดีตสุดยอดกองหลังของทีมชาติเยอรมันและของโลก ที่ประสบทั้งการเป็นนักเตะและโค้ช ซึ่งได้รับการยอมรับจากทั่วโลก

กว่าจะมาถึงวันนี้ ชีวิตเบ็คเคนเบาเออร์ ผ่านอุปสรรคมาทุกอย่าง  เขาเกิดที่เมืองมิวนิค ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในครอบครัว เบ็คเคนเบาเออร์เป็นลูกชายคนที่สองของ อันโตนี่ เบ็คเคนเบาเออร์ ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของกองพัสดุไปรษณีย์ แต่ในวัยเด็กของเขาก็เล่นตามประสาเด็กแทบดูไม่ออกเลยว่าจะเป็นยอดนักเตะได้  ผ่านมาไม่มีกี่ปี ตอนนั้นเขาอายุแค่ 9 ปี ก็ได้เป็นนักเตะเยาวชนของทีมเอสซี มิวนิค06  แต่จากนั้นอีกไม่กี่ปี เบ็คเคนเบาเออร์ ก็ได้เข้าสู่ทีมเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยวัยเพียง 13 ปีตอนนั้นทีมยังเล่นแค่ระดับท้องถิ่นยังไม่ได้ขึ้นสู่บุนเดสลีกา

ด้วยความมานะของเบ็คเคนเบาเออร์ เขาฝึกฝนอย่างหนักจนขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ของสโมสรได้สำเร็จเมื่อวันที่ 6 มิ.ย 1964 และได้ฤกษ์ลงสนามนัดแรกพบกับ ซังค์.เพาลี และเล่นตำแหน่งปีกซ้าย เพียงแค่ปีแรกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากมายและเป็นกำลังหลักของสโมสรพาทีม ขึ้นสู่บุนเดสลีกาได้สำเร็จด้วย

เพียงแค่วัย 19 ย่าง 20 ปี เบ็คเคนเบาเออร์ ก็ติดทีมชาติเยอรมันตะวันตกแล้ว เมื่อวันที่ 26 มิ.ย 1966 และจากนั้นเขาก็ติดทีมชาติ เยอรมันตะวันตก เข้าแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ประเทศอังกฤษ และการไปครั้งนี้ เขาได้เปลี่ยนบทบาทครั้งสำคัญในการย้ายไปเล่นในตำแหน่งกองกลาง แต่ปีนั้นเยอรมันไปไม่ถึงดวงดาว ต้องพ่ายให้แก่เจ้าภาพอังกฤษไป 4-2 ที่ถึงทุกวันนี้แมตช์นี้เป็นที่กล่าวขานมาตลอดว่าเยอรมันโดนปล้นชัยชนะ หลังจากที่เจฟฟ์ เฮิร์ทส์ ยิงชนขานและบอลตกลงบนเส้นแต่ผู้ตัดสินให้ประตูแก่อังกฤษ ซึ่งตัวเขาเองผิดหวังที่พ่ายแพ้

แต่ความผิดหวังก็นำไปสู่ความสำเร็จหลังจากนั้น เบ็คเคนเบาเออร์ นำความสำเร็จหลั่งไหลสู่ สโมสรบาเยิร์น มิวนิคอย่างมากมายกลายเป็นมหาอำนาจของเยอรมันไปเลย ได้ทั้งแชมป์ บุนเดสลีกา เยอรมัน คัพ และ ยังพาทีมได้แชมป์คัพวินเนอร์ คัพ ในป 1967 ด้วย 

ปี 1968 เขานำบาเยิร์นยิ่งใหญ่ต่อไป และได้ก้าวมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้ง โดยการที่เบ็คเคนเบาเออร์ ลงไปเล่นตำแหน่ง ที่เกิดขึ้นครั้งแรกว่า " ลิเบอโร่" ซึ่งคนเยอรมันตื่นเต้นกับตำแหน่งได้ดังกล่าว และ เบ็คเคนเบาเออร์ ก็ทดลองเล่นตำแหน่งนี้ เพราะเขามองว่ามีอิสระในการเล่นทั้งเกมรุกและรับอย่างเต็มที่ คือว่าสามารถไปที่ไหนของสนามก็ได้  และเขาได้เสนอแนวคิดการเล่นแบบนี้ให้กับเฮดโค้ชทีมชาติในตอนนั้นคือ เฮลมุล เชิน แต่ก็ได้รับการปฎิเสธ มีแต่ทีมบาเยิร์น มิวนิค เท่านั้นที่ยอมรับได้ และปี 1970 เบ็คเคนเบาเออร์ประสบปัญหาบาดเจ็บ ทำให้อดไปช่วยทีมลุยบอลโลกที่เม็กซิโก

แต่ปีถัดมาเขาก็ได้รับตำแหน่งกัปตันทีมชาติเยอรมันตะวันตก และตอนนี้ถือว่ากราฟชีวิตของเขาแรงไปข้างหน้าอย่างเดียว และปี 1972 ในศึกฟุตบอลยูโร คือการที่คนทั้งโลก ได้รู้จักการเล่นที่เรียกว่า ลิเบอโร่  ซึ่งเบ็คเคนเบาเออร์ โชว์ให้เห็นถึงการเล่นอันยอดเยี่ยม และจินตนาการที่เป็นเลิศ และสามารถนำทีมชาติเยอรมันตะวันตก ไล่อัดคู่ต่อสู้จนกระทั่งนัดชิง สอนเชิงทีมหมีขาว รัสเซียไปสบายๆ 3-0 และคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ

ปี 1974 เยอรมัน จัดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ปีนั้นแชมป์เก่าบราซิล ยังเป็นตัวเต็ง แต่เสียดาย พวกเขาไม่มีเปเล่และนักเตะเก่งๆคนอื่นอีก  แต่ม้ามืดของจริง ต้องอัศวินสีส้ม ฮอลแลนด์ ซึ่งปีนั้นถือว่าเป็นปีที่สุดยอดของพวกเขา นำทัพโดยโยฮัน ครัฟฟ์ ที่เล่นได้สุดยอด กับระบบที่โลกต้องตะลึง อย่าง "โททั่ลฟุตบอล" และทั้งคู่ก็กลายมาเป็นคู่ชิงชนะเลิศกัน

เกมการแข่งขันเป็นไปอย่างสนุก แต่สุดท้ายแล้วเยอรมันของเบ็คเคนเบาเออร์ ที่มีประสิทธิภาพในการเล่นก็ชนะ ความสวยงามของโลกฟุตบอลอย่างฮอลแลนด์ไปอย่างสนุก 2-1 และเบ็คเคนเบาเออร์ กลายเป็นกัปตันทีมชาติเยอรมันและนักเตะคนแรกที่ชูถ้วยฟีฟ่า เวิลด์ คัพ หลังจากถ้วยใบเดิม จูลส์ ริเมต์ ยกให้บราซิลได้เป็นกรรมสิทธิ์หลังคว้าแชมป์โลกไปครองได้ สามสมัยเป็นทีมแรกของโลก

หลังจากนั้น เขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวด โดยการพาทีมสโมสรบาเยิร์น มิวนิค ครองแชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัยติดต่อกัน และต่อความสุดยอด้วยการคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยส์ คัพ  3 ปี ติดต่อกันได้อีกด้วย

ชีวิตต่อจากนั้นถือว่าเป็นโบนัสสำหรับเบ็คเคนเบาเออร์ เพราะเขาประสบความสำเร็จทุกอย่างในการเป็นนักเตะแล้ว  และต่อจากนั้นเขาไปเล่นลีกอาชีพที่สหรัฐอเมริกา และเมื่อเขาไปตอนนั้น ก็แทบจะหลุดจากการติดทีมชาติเลย และ เขาได้ยุติการเล่นทีมชาติไว้เพียง 103 นัดเท่านั้น

ปี 1982 เขากลับมาเล่นให้ฮัมบูร์ก อีก 1 ปี และด้วยวัย 35 ปี เขาตัดสินใจแขวนรองเท้าในปีต่อมา เมื่อไปเล่นที่อเมริกากับทีมนิวยอร์ค คอสมอส  แต่หลังจากนั้นแค่ 2 ปี ชีวิตของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเมื่อทีมชาติเยอรมัน ล้มเหลวอย่างหมดท่าในศึกยูโร 1984 ที่ฝรั่งเศส ทางสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน ได้แต่งตั้งเขาเป็น โค้ชทีมชาติต่อจากจุ๊ปป์ แดร์วัลล์ แต่ตอนนั้นเขาไม่มีใบประกาศนียบัตร แต่ได้รับการยกเว้นและถูกเรียกในเวลาต่อมาว่าทีมเชฟ

ฟุตบอลโลก ปี 1986 เบ็คเคนเบาเออร์ นำทีมเยอรมันที่ถูกมองว่าไร้น้ำยา หักด่านเข้าชิงชนะเลิศ กับ อาร์เจนติน่า ได้สำเร็จ แต่ปีนั้นต้องพ่ายแพ้ให้กับความสามารถของยอดนักเตะโลก อย่าง มาราโดน่า ไปอย่างตื่นเต้น 3-2  และทุกคนก็ได้เห็นฝีมือในการทำทีมของเบ็คเคนเบาเออร์ในงานระดับโลกอย่าง ฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก

แต่อีก 4 ปีต่อมา ฟุตบอลโลกที่อิตาลี  เยอรมันที่เขาคุมทีมมาตลอด ได้ชุดลงตัวที่สุดเลยก็ว่าได้ กลายเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆในการแข่งขันครั้งนั้น และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขานำทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง และคู่ต่อสู้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อาร์เจนติน่า แชมป์เก่านั้นเอง ซึ่งครั้งนี้ ทีมของเบ็คเคนเบาเออร์ แกร่งเกินกว่าทีมอาร์เจนติน่า จะชนะได้ และเยอรมัน สามารถเอาชนะไปได้ 1-0 และเป็นแชมป์โลกสมัยที่สามของเยอรมัน

นี่คือความสุดยอดของมันสมองของเบ็คเคนเบาเออร์ ที่ทำทีมประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่  ต่อจากนั้นเขาก็อำลาวงการฟุตบอล และได้กลับมาทำงานด้านฟุตบอลอีกครั้งในปี 1998 ในฐานะประธานสโมสร บาเยิร์น มิวนิค  และเมื่อเยอรมันเสนอตัวเป็นเจ้าภาพบอลโลก ปี 2006 ฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ ได้รับเลือกให้เป็นประธานจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก ซึ่งทั้งการเป็นยอดนักเตะ สุดยอดโค้ช และบุคคลิกในและนอกสนาม เบ็คเคนเบาเออร์ คือสุดยอดแล้วยากที่ใครจะเสมอเหมือนอีกแล้วในโลกนี้ ไม่ว่าเขาจะทำไรต้องประสบความสำเร็จทุกอย่าง

"จักพรรดิลูกหนัง" คำนี้คงมีให้แก่เขาคนเดียวเท่านั้นในโลกนี้  สำหรับชายชื่อ ฟร้านซ์ เบ็คเคนเบาเออร์
 



มาร์โก แวน บาสเท่น

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อ มาร์โก แวน บาสเท่น
ฉายา  เพชรฆาตพรายกระซิบ
วันเกิด 31 ต.ค. 1964
สถานที่เกิด เทร็คต์ ฮอลแลนด์
ตำแหน่ง กองหน้า

ถ้าจะเอ่ย ถึงตำแหน่งกองหน้าที่เก่งๆในฟุตบอลโลกซักคน คงจะต้องมีชื่อเขา คนนี้แน่นอน มาร์โก แวน บาสเท่น ยอดศูนย์หน้าชื่อก้องโลกของทีมชาติฮอลแลนด์   แวน บาสเท่น เกิดเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ปี 1964  ที่เมืองอูเทร็คท์  และ ได้เริ่มเข้าร่วมทีมอาแจ็กซ์ จากทีมสมัครเล่นอีลิงค์วิก ในปี 1981  ด้วยพรสวรรค์และความเก่งเกินวัยทำให้เขาพุ่งขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ ของอาแจ๊กซ์เมื่ออายุเพียง 17 ปี โดยเป็นตัวสำรองแทน "นักเตะเทวดา" อย่าง โยฮัน ครัฟฟ์

แวน บาสเท่น ถูกจับตามองอย่างมากเมื่อเขาติดทีมฮอลแลนด์ ชุดเยาวชนโลกที่เม็กซิโก เมื่อปี 1983 ซึ่งตัวเขาเองสามารถโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม

ผลงานในสโมสรอาแจ๊กซ์ ของแวน บาสเท่น ไม่ธรรดาเลย เมื่อยิงประตู ได้ทั้งสิ้น 128 ประตู ซึ่งเป็นสถิติที่เฉลี่ยแล้วเกือบยิงทุกนัดที่ลงสนาม ความเป็นดาวซัลโวที่ฉายแสงอย่างสุดยอดของเขาในทีมอาแจ๊กซ์ ทำให้สโมสรขาย วิฟ เคี้ยฟ ดาราเท้าทองแห่งยุโรปในปี 1982 ออกจากทีมไปในปี 1983

แวน บาสเท่น ยังสำแดงเดช ยิงประตูให้อาแจ๊กซ์เป็นว่าเล่น จนสามารถนำทีมคว้าแชมป์คัพวินเนอร์คัพ มาครองได้ในปี 1987 และในปีนั้นแวน บาสเท่น กดไปถึง 31 ประตู ด้วยผลงนอันยอดเยี่ยมนี่เอง ทำให้ ทีมปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน มาซื้อตัวเขาในราคา 1.5 ล้านปอนด์ ( ประมาณ 80 ล้านบาท) โดยต้องแย่งกับสโมสรชั้นนำของยุโรป อย่าง บาร์เซโรน่า,โรม่า,แวร์เดอ เบรเมน  ซึ่งทำให้เอซี มิลาน แข็งแกร่ง และก้าวขึ้นไปเป็นยอดทีมในยุคนั้นทันที

สำหรับผลงานในระดับชาติ แวน บาสเท่น สร้างชื่อของเขาในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในปี 1988 ที่ประเทศเยอรมันตะวันตก ซึ่งช่วงแรกๆ เขาต้องเล่นเป็นแค่ตัวสำรอง แต่หลังจากนัดแรก แวน บาสเท่น ได้กลับมาเล่นเป็นตัวจริงและยิงได้ถึง 5 ประตู รวมถึงประตูดับเจ้าภาพเยอรมันในรอบตัดเชือกและลูกสุดสวยกับทีมชาติรัสเซีย ในนัดชิงชนะเลิศ และพาทีมคว้าแชมป์ยุโรปในปี 1988 ด้วย

ส่วนฟุตบอลโลกสำหรับแวน บาสเท่น ในปี 1990 ที่ประเทศอิตาลี ตอนนั้น ฮอลแลนด์ ไปในฐานะทีมแชม์ยุโรปและตัวเต็งอันดับ ต้นๆ แต่ต้องเจองานหนักตั้งแต่รอบแรกอยู่ร่วมสาย กับ อียิปต์,ไอร์แลนด์ และอังกฤษ ซึ่งฮอลแลนด์สร้างผลงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็สามารถผ่านเข้ารอบสอง ไปเจอกับเยอรมันตะวันตก ซึ่งถือเป็นการล้างตาจากฟุตบอลยูโร 88 ซึ่งคราวนี้ ทีมของแวน บาสเท่น ต้องแพ้ไป 1-2 ทำให้ต้องตกรอบอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้นแวน บาสเท่น พาทีมเอซี มิลาน คว้าแชมป์เป็นว่าเล่นไม่ว่า แชมป์กัลโช่ เซเรียอา,แชมป์ยูโรเปี้ยนส์ คัพ,แชมป์สโมสรโลก ฯลฯ และตัวเขาเองยังคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรปได้ถึง 3 สมัยในปี 1988,1989 และ 1992  และนักเตะยอดเยี่ยมของโลก ในปี 1992 เช่นกัน

แต่หลังจากนั้น โชคชะตา จะเล่นตลกกับ แวน บาสเท่น เมื่อมีปัญหาอาการบาดเจ็บ เล่นงานเรื้อรังไม่ว่าจะผ่าตัดกี่ครั้ง แต่แวน บาสเท่น ก็ไม่สามารถจะกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีก แม้ฟุตบอลโลกในปี 1994 แวน บาสเท่น ก็ไม่สามารถฟิตทันได้ และแวน บาสเท่น ทนอาการบาดเจ็บไม่ไหว จนต้องประกาศแขวน สตั๊ดด้วยวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น

แม้ว่า ผลงานในฟุตบอลโลกของแวน บาสเท่น จะมีแค่ในฟุตบอลโลก ปี 1990 แค่ครั้งเดียว แต่ชื่อของเขา ยังเป็นที่รู้จักในวงการลูกหนังโลกและได้รับการยกย่องว่า เป็นกองหน้าที่ดีที่สุดของโลก ที่เคยมีมาอีกด้วย  ปัจจุบัน แวน บาสเท่น กำลังจะกลับเข้าสู่ฟุตบอลโลกอีกครั้งที่ประเทศเยอรมันในปี 2006 แต่มาคราวนี้ เขามาในฐานะกุนซือทีมชาติฮอลแลนด์ ซึ่งพลพรรค อัศวินสีส้มได้รับการคาดหมายว่าเป็นทีมตัวเต็งอันดับต้นๆด้วย

ถึงกาลเวลาจะผ่านไปแค่ไหน แต่คงไม่มีใครลืมผลงานถล่มประตูอันสุดยอดของ ยอดศูนย์หน้าระดับโลกในตำนาน อย่าง มาร์โก แวน บาสเท่น คนนี้ได้อย่างแน่นอน
 



โรเจอร์ มิลลา

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อเต็ม Albert Roger Milla
ฉายา เสือเฒ่าแห่งแคเมอรูน
วันเกิด 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2495
สถานที่เกิด ยาอูนเด ประเทศแคเมอรูน
ตำแหน่ง กองหน้า
 
อัลเบิร์ต โรเจอร์ มิลลา (Albert Roger Milla) (เกิด 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2495 ที่เมืองยาอูนเด) นักฟุตบอลจากประเทศแคเมอรูน ถึงแม้ว่า โรเจอร์ มิลลา ได้เริ่มเล่นให้ทีมชาติแคเมอรูนครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1978 แต่มีชื่อเสียงใน ฟุตบอลโลก 1994 ในการแข่งขันที่สหรัฐอเมริกา โรเจอร์ มิลลา ได้ทำประตูของเขาในขณะที่อายุ 42 ปี 39 วัน ทำให้เป็นสถิติฟุตบอลโลก นักฟุตบอลที่อายุสูงสุดที่ทำประตูได้ ในนัดที่แข่งกับทีมชาติรัสเซีย

มิลล่า ทำผลงานยิง 4 ประตูในฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลี ให้ "หมอผี" แคเมอรูนทะลุถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ กล่าวว่า "ทีมแอฟริกามีลุ้นแชมป์แน่นอน ในสนามแล้วทุกทีมเท่ากันหมด ทีมอย่างบราซิล, อิตาลี หรือฝรั่งเศส ไม่ได้เหนือกว่าบานตะเกียงเหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้วอีกต่อไป ตอนนี้โอกาสแพ้ชนะ 50-50 นักเตะอังกฤษ, ฝรั่งเศส, อิตาลี เล่นในลีกใหญ่ๆ แต่นักเตะแอฟริกันที่ไปค้าแข้งที่นั่นก็เยอะ ทีมที่เตรียมตัวดีสุดจะไปไกลที่สุด ทีมจากแอฟริกา มีโอกาสไม่น้อยไปกว่าทีมอื่น" อนึ่งทีมจากแอฟริกาที่ทำผลงานดีที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายคือแคเมอรูน (1990) และเซเนกัล (2002) ที่เข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ

ในฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลี ดาวยิงบานไม่รู้โรย ของ แคเมอรูน ฉลองประตูด้วยการวิ่งไปยังมุมธง ก่อนจะโชว์ลีลาโยกย้ายส่ายสะโพก ต่อมาไม่นานท่าฉลองประตูของ มิลล่า ก็ฮิตติดลมบน และระบาดมายังทุกสนามในอังกฤษ

ชีวิตในช่วงเด็กของ โรเจอร์ มิลลา ได้ย้ายที่อยู่บ่อยเนื่องจากพ่อทำงานสร้างทางรถไฟ เริ่มเล่นฟุตบอลครั้งแรกเมื่ออายุ 13 ปี ให้กับสโมสร Douala เมื่ออายุ 18 ปี ได้นำทีมสโมสรเป็นแชมป์ ในปี พ.ศ. 2520 (1977) โรเจอร์ มิลลาได้ไปยุโรปและเล่นให้กับสโมสร Valenciennes ในฝรั่งเศส แต่ไม่ได้ลงเล่นตลอดเวลา 2 ปี และได้ย้ายต่อไปที่ AS Monaco และ Bastia จนในที่สุดได้ย้ายไปเล่นให้กับ Saint-Etienne ในปี พ.ศ. 2527 และมีชื่อเสียงในช่วงนี้ และได้ย้ายต่อไปเล่นให้กับ Montpellier ในช่วง 2529-2532

ผู้เล่นอายุมากที่สุดที่ยิงประตู โรเจอร์ มิลล่า เสือเฒ่าของทีมชาติแคเมอรูนยิงประตูรัสเซียได้ในปี 1994ซึ่งตอนนั้นเขามีอายุถึง 42 ปี กับ อีก 39 วัน

ในปี พ.ศ. 2547 โรเจอร์ มิลลา ได้มีชื่ออยู่ใน ฟีฟ่า 100 รายชื่อนักฟุตบอลยอดเยี่ยม 125 คน ที่เลือกโดยเปเล่